Dwayne Johnson “The Rock” นักมวยปล้ำชื่อดัง WWE และยังเป็นนักแสดงร่างยักษ์


Dwayne Johnson “The Rock” จากนักเลง นักกีฬา นักมวยปล้ำ มาสู่หนึ่งในนักแสดงรายได้สูงสุดของโลก!

Dwayne Johnson ดเวย์น จอห์นสัน (Dwayne Johnson) เขาเกิดเมื่อปี 1972 ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาเป็นลูกชายของ ร็อคกี้ จอห์นสัน (Rocky Johnson) นักมวยปล้ำแอฟริกัน-อเมริกัน คนแรกที่คว้าแชมป์แบบแท็กทีม และยังเป็นหลานชายของ ปีเตอร์ มายเวีย (Peter Maivia) นักมวยปล้ำเชื้อสายซามัวอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่ ดเวย์นจะเติบโตมากับ ธรรมชาติของการเป็น นักมวย ดเวย์น จอห์นสัน 

หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “เดอะร็อค” (The Rock)  เขาเริ่มต้นเข้าสู่วงการกีฬา จากการเป็น นักอเมริกันฟุตบอล ของทีมมหาวิทยาลัย เขามีโอกาสได้เริ่มเล่น กีฬาอเมริกันฟุตบอล ตามคำแนะนำของครูประจำโรงเรียน เนื่องจากเขามีร่างกายที่ ใหญ่โตและแข็งแกร่ง บวกกับที่นิสัยก้าวร้าวดุดัน นั่นจึงทำให้เขาเป็น

ดาวรุ่งที่น่าจับตามอง อย่างมากในเวลานั้น ดเวย์นจึงได้รับโควต้า จากมหาวิทยาลัยชื่อดัง มากมายเพราะใครๆ ก็อยากได้ตัวเขาไปร่วมทีม ท้ายที่สุดเขาตัดสินใจเข้าร่วมทีม Miami Hurricanes ของมหาวิทยาลัยไมอามี โดยลงเล่นในตำแหน่ง Defensive Lineman ซึ่งเขาก็โชว์ฟอร์ม

ได้อย่างยอดเยี่ยมจากการ ทำสถิติแท็กเกิลสำเร็จ 77 ครั้ง ในการลงสนาม 39 เกม และสามารถพาทีมคว้าแชมป์ระดับประเทศในปี 1991 ได้สำเร็จ หลังจากนั้น เดอะร็อค ก็ได้เล่นให้กับทีม แคลการี่ สแตมป์พีเดอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน แคนนาเดียน ฟุตบอล ลีก แต่ก็เล่นได้เพียงแค่ 2 เดือนเท่านั้น

เขาก็ได้ถูกชักชวนให้มาเล่น มวยปล้ำ เพื่อตามรอย ปีเตอร์ มายเวีย ปู่ของเขา และ ร็อคกี้ จอห์นสัน พ่อของเขา และในช่วงวัยเด็ก ดเวย์นอาศัยอยู่กับคุณแม่ของเขาที่นิวซีแลนด์ก่อนที่เขาจะย้ายกลับมาอยู่ที่อเมริกากับคุณพ่อ แต่ด้วยความที่ กีฬามวยปล้ำ ที่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก ทำให้รายได้ของครอบครัว

ค่อนข้างฝืดเคือง ดเวย์นในวัย 14 ปี จึงเลือกที่จะออกตระเวน ฉกชิงวิ่งราวกับกลุ่มเพื่อน แล้วนำไปขายและ หัดปลอมเช็คไปแลกเงินสด อีกด้วย นักแสดงสุดล่ำคนนี้ ว่ากว่าจะมาเป็น นักแสดงแถวหน้าของโลกนั้น จุดเริ่มต้นของเขาไม่ง่ายเลย

Dwayne Johnson

Dwayne Johnson จุดเริ่มต้นของการเป็น นักมวยปล้ำชื่อดัง “The Rock” 

หลังจากอาการบาดเจ็บเรื้อรัง ที่ไม่หายสักทีทำให้เขา โดนเลิกจ้างและปลดออก จากทีมอเมริกันฟุตบอล หลังจากร่วมทีมมาได้แค่ 2 เดือนเท่านั้นเอง ดเวย์น เดินทางกลับมาอเมริกา และเหลือเงินติดตัวอยู่แค่ 7 ดอลล่าสหรัฐเท่านั้นเอง มันเป็นช่วงเวลาที่เขารู้สึกมืดแปดด้าน จนกระทั่งพ่อของเขา

ประกาศยุติบทบาท มวยปล้ำ และอยากให้ลูกชายมาสานต่อ เขาจึงเริ่มเข้าสู่วงการมวยปล้ำในปี 1996 โดยเดบิวต์ในชื่อ “ร็อกกี้ มายเวีย” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ชื่อ “เดอะร็อค” และการเป็นแชมป์ WWE ทำลายสถิติอายุน้อยที่สุด ที่เป็นแชมป์ในวัย 26 ปี ด้วยความที่มวยปล้ำเป็นกีฬา Sport Entertainment

หรือเพื่อความสนุก เดอะร็อคที่มีทั้งฝีมือในการปล้ำ และการแสดงทำให้ตัวเขา เหมือนเสือติดปีกที่มีผู้คน ชื่นชอบอย่างมากมาย ตลอดระยะเวลา 9 ปีในอาชีพมวยปล้ำของดเวย์น เขาเคยเป็นแชมป์โลก 9 สมัย โดยคว้าแชมป์โลกของ WWE มาได้ 7 สมัย

และคว้าแชมป์โลก WCW (World Championship Wrestling) มาได้ 2 สมัย ความโด่งดังของเขา ในสังเวียนนั้น กรุยทางไปสู่เส้นทางฮอลลีวูด เขาได้รับเกียรติให้ไปเป็น พิธีกรในรายการ “Saturday Night Live” และก็เริ่มสร้างชื่อเสียง จนในปี 2001 ปีแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวกับ The Mummy Returns

หนังเรื่องแรกของเดอะร็อค และมีหนังออกตามกันมา อย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ ทางนิตยสาร Forbes ก็ได้ยกให้เขาเป็น นักแสดงนำชาย ที่มีรายได้มากที่สุดในโลก กับจำนวนเงิน 64.5 ล้านเหรียญสหรัฐ และยังเป็นนักแสดง ที่มีค่าตัวแพง ที่สุดในโลกอีกด้วย สิ่งที่เรื่องราวของ

เดอะร็อคบอกกับเราก็คือ ชีวิตที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้นทุนที่ไม่ได้ดีเท่ากับคนอื่น อาจจะล้มเหลว แต่สุดท้าย ถ้าเราไม่ยอมแพ้ และสู้ต่อไป ลองเปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนวิธีการ แต่ยังคงต่อสู้ด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ความสำเร็จก็จะเป็นของเราในวันหนึ่ง

จากนักมวยปล้ำชื่อดัง สู่นักแสดงฮอลลีวูดระดับพันล้าน ที่ค่าตัวมากที่สุดในโลก

Dwayne Johnson

 

“The Rock” ได้มีโอกาสก้าวเท้าเข้าสู่ วงการมายานักแสดง เขาได้รับเลือกให้มารับบท Scorpion King ในภาพยนตร์เรื่อง The Mummy Returns แต่มีแอร์ไทม์ แค่เพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่นี่ก็ถือว่าเป็นก้าวแรก ที่ยิ่งใหญ่ของการเป็น นักแสดงภาพยนตร์ บล็อกบัสเตอร์อย่างแท้จริง เพราะหลังจากนั้นเดอะร็อค

ได้กลับมารับบทนี้อีกครั้งในเรื่อง The Scorpion King ซึ่งเป็นภาคแยกของภาพยนตร์ เรื่องก่อนตามคำเรียกร้องของแฟนๆ ซึ่งเขาได้รับค่าตัวไปเต็มๆ ถึง 5.5 ล้านเหรียญ หลังจากนั้นเขา ก็รับงานแสดงสลับกั บมวยปล้ำมาตลอด จนกระทั่งเขาได้เล่นหนังเรื่อง Walking Tall ซึ่งทำให้คนดูเริ่มจดจำเขาได้

ในฐานะนักแสดงมากขึ้น เดอะร็อคจึงตัดสินใจ ยุติบทบาทนักมวยปล้ำ อย่างเป็นทางการในปี 2004 ซึ่งเป็นช่วงที่สัญญาของเขากับ WWE หมดลงเช่นกัน พอประกาศลงจากเวทีมวยปล้ำ งานแสดงก็เข้ามาหาเดอะร็อค ไม่หยุดหย่อนทั้งในบทหลัก และบทรอง อย่างเช่นภาพยนตร์เรื่อง Be Cool (2005)

Doom (2005), The Game Plan (2007), Get Smart (2008) หรือ Faster (2010) อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ ที่เขาสามารถประสบความสำเร็จ เรื่องแรกของเขาก็คือการรับบท ลุค ฮ็อบส์ ในภาพยนตร์ Fast Five (2011) ที่กวาดรายได้ทั่วโลกไปถึง 626.1 ล้านเหรียญสหรัฐ

โดยเดอะร็อคได้ค่าตัว 32.6 ล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่านักแสดงหลักอย่าง “วิน ดีเซลล์” หรือ “พอล วอล์คเกอร์” เสียอีกซึ่งความสำเร็จนี้ ยังต่อยอดไปถึงแฟรนไชส์ ภาพยนตร์เร็วแรงทะลุนรก ในภาคต่อๆไปอีกด้วย เดอะร็อคกลายมาเป็น นักแสดงแถวหน้าของ ฮอลลีวู้ดอย่างเต็มตัว ในปี 2016

เขาเป็นนักแสดงนำชาย ที่มีรายได้มากที่สุดในโลก กับจำนวนเงิน 64.5 ล้านเหรียญสหรัฐหรือราวๆ 2.1 พันล้านบาท จากการแสดงเรื่อง San Andreas, Central Intelligence, Baywatch และ The Fate of the Furious

Dwayne Johnson

นักมวยปล้ำผู้สร้างตำนาน The People’s Champ หนึ่งในนักมวยปล้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

ด้วยทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง แถมยังมีบุคลิกที่น่าจดจำ อย่างการทำหน้าถมึงทึง และเลิกคิ้วขวาข้างเดียว มีท่าไม้ตายเฉพาะตัวอย่าง Rock Bottom และ People’s Elbow คือท่าศอกมหาชน ที่เด็กผู้ชายในยุคนั้นต้องเคยเลียนแบบแน่นอน รวมทั้งทักษะการเอ็นเตอร์เทนคนดูที่เร้าใจ

ทำให้เขาได้รับฉายา The People’s Champ มาครองได้อย่างรวดเร็ว ตลอดระยะเวลา 9 ปีในอาชีพมวยปล้ำของดเวย์น เขาเคยเป็นแชมป์โลก 9 สมัย โดยคว้าแชมป์โลกของ WWE มาได้ 7 สมัย และคว้าแชมป์โลก WCW (World Championship Wrestling) มาได้ 2 สมัย รวมไปถึงแชมป์อื่นๆ ได้แก่ แชมป์อินเตอร์คอนติเนนทัล 2 สมัย, แชมป์โลกแท็กทีมของ WWE 5 สมัย และเป็นผู้ชนะใน The Royal Rumble ในปี 2000

ข่าวสารเพิ่มเติมที่ : Nathan Jones อนิเมะ