กลุ่มกบฏนักมวย เมื่อต้องเผชิญกับการกดขี่และไม่เป็นธรรม ทำให้พวกเขาต้องลุกขึ้นสู้
กลุ่มกบฏนักมวย เรื่องราวของชนชั้นรากหญ้าของจีนที่ใช้ ศิลปะการต่อสู้โบราณ ต่อต้านการรุกรานของต่างชาติอย่างกล้าหาญ ในสมัยราชวงศ์ชิง สนธิสัญญานานกิง ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวอังกฤษ สามารถเข้ามาทำการค้าในจีนได้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่ยังทำให้ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ของพวกเขา สามารถเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ผ่านการสร้างโบสถ์และโรงเรียนไปทั่วทั้งประเทศจีน
หลังจากนั้นมิชชันนารีจากตะวันตก ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส หรือ เยอรมัน ก็ตามรอยอังกฤษเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในจีน โดยเฉพาะในมณฑลซานตง ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ที่ถึงขั้นมีชุมชนของมิชชันนารี อย่างไรก็ดีการเข้ามาของต่างชาติ ก็สร้างความขุ่นเคืองใจให้แก่ชาวจีนในพื้นที่
จากการถูกกดขี่ข่มเหง อันเนื่องมาจากสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้งการยึดที่นาของชาวบ้านมาสร้างโบสถ์ ตัดถนน รวมถึงสร้างทางรถไฟ ในขณะเดียวกัน การที่มิชชันนารีเหล่านี้ ได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทำให้พวกเขาไม่ถูกเอาเรื่อง เมื่อกระทำความผิด และยิ่งเพิ่มความเกลียดชังของชาวจีน
ที่มีต่อชาวต่างชาติให้มากขึ้นไปอีก และมันก็มาถึงจุดแตกหักในช่วงทศวรรษที่ 1890s เมื่อเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน ก่อนจะซ้ำเติมด้วยอุทกภัยที่ทำให้เศรษฐกิจของพวกเขาพังพินาศ
ความสิ้นหวังและความคับแค้นเหล่านี้ ทำให้ชนชั้นรากหญ้าที่ประกอบไปด้วย ชาวนาและเกษตรกรทั้งหญิงและชายทนไม่ไหว และได้รวมตัวก่อตั้งกองกำลังขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญคือ ขับไล่ต่างชาติที่มองว่า เป็นภัยร้ายทำลายบ้านเกิดของพวกเขาออกไป และด้วยความที่หลายคนในกลุ่มนี้
ต่างฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ รวมถึงกำลังภายในที่เชื่อว่าช่วยทำให้อยู่ยงคงกระพันและสามารถหลบกระสุนได้ ทำให้พวกเขาถูกเรียกจากสื่อตะวันตกว่า “กลุ่มนักมวย (Boxers)” ผู้หญิงที่เข้าร่วมกลุ่มนักมวยจะถูกเรียกว่า โคมแดงส่องแสง เนื่องจากพวกเธอแต่งตัวในชุดสีแดงทั้งตัวถือโคมแดงไว้ข้างหนึ่ง
ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นพัดแดง พวกเธอทั้งหมดไม่มีใครที่แต่งงานและมีอายุราว 18 หรือ 19 ปี เผิง จินหยู และ หลี่ หมิงเต๋อ อดีตสมาชิกกลุ่มนักมวยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อปี 1966 ทุกหมู่บ้านจะมีผู้หญิง เข้าร่วมกลุ่มโคมแดงส่องแสง แต่พวกเขาไม่อยากให้ใคร เห็นพิธีกรรมของพวกเขา จึงมักจะฝึกฝนในเวลากลางคืน ในค่ำคืนที่ฟ้ามืดสนิท ก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็น กองกำลังสำคัญของราชวงศ์ชิง
สำหรับซูสีไทเฮา เมื่อเห็นกลุ่มนักมวยเริ่มเพลี่ยงพล้ำ ก็ตัดสินใจหนีไปยังเมืองซีอานที่ปลอดภัยกว่า ก่อนจะตัดความสัมพันธ์กับ กลุ่มนักมวย โดยระบุว่านี่เป็น “กลุ่มกบฏ” ที่ใช้กองกำลังของรัฐบาล เป็นเครื่องมือในการเข่นฆ่าชาวต่างชาติ รัฐบาลชิงยังสั่งประหารแกนนำ และสมาชิกของกลุ่มนักมวย
รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐหลายคนที่เข้าร่วมขบวนการ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า พวกเขาไม่มีส่วนรู้เห็นต่อหน้าทหารของพันธมิตรในที่สุด กลุ่มนักมวย หรือ กบฏนักมวย มีอันต้องสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ ในเดือนกันยายน 1901 หลังการลงนามใน “พิธีสารนักมวย” (Boxer Protocol) ที่สถานทูตสเปนในเมืองต้าชิง ทำให้จีนต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นเงินสูงถึง 333 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่ 8 ประเทศที่เกี่ยวข้อง
ขอบคุณข้อมูลอ้างอิง : www.sanook.com
อ่านข่าวมวยอื่นๆได้ที่ >> ข่าวมวย
ติดต่อเรา >> คลิ๊ก!!!